วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

โวหารที่ใช้ในการเขียน

โวหารที่ใช้ในการเขียนสารคดีประกอบด้วยโวหาร โวหารด้วยกันคือ
1.             บรรยายโวหาร
2.             พรรณนาโวหาร
3.             เทศนาโวหาร
4.             สาธกโวหาร
5.             อุปมาโวหาร

1.             บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเรื่อง หรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลำดับเหตุการณ์ การเขียนบรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กล่าวถึงแต่สาระสำคัญไม่จำเป็นต้องมีพลความ หรือความปลีกย่อยเสริม ในการเขียนทั่ว ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการติดต่อสื่อสารเนื่องจากสำนวนประเภทนี้มุ่งสาระเขียนอย่างสั้น ๆ ได้ความชัดเจน งานเขียนที่ควรใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนอธิบายประเภทต่าง ๆเช่น เขียนรายงานวิทยานิพนธ์ ตำรา บทความ การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง เช่น บันทึก จดหมายเหตุ การเขียนเพื่อแสดงความคิดเห็นประเภทบทความเชิงวิจารณ์ ข่าว เป็นต้น
2.             พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขียนต่างจากบรรยายโวหาร คือ มุ่งในเรื่องของความแจ่มแจ้งละเอียดลออ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ซาบซึ้งเพลิดเพลินไปกับข้อความนั้นและเห็นภาพได้ชัดเจน การเขียนพรรณนาโวหารจึงยาวกว่าบรรยายโวหารมาก แต่ไม่ใช่การเขียนแบบเยิ่นเย้อ เพราะพรรณนาโวหารจะมุ่งให้ภาพ และอารมณ์ ดังนั้นจึงมักใช้การเล่นคำ เล่นเสียง การใช้ภาพพจน์ และถึงแม้ว่าเนื้อความที่เขียนจะน้อยแต่ก็จะเต็มด้วยสำนวนโวหารที่ไพเราะ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพได้
3.             เทศนาโวหาร หมายถึง โวหารที่มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้งเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการชักจูงให้ผู้อ่านคิดเห็นหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้เขียน เทศนาโวหารจึงยากกว่าบรรยายโวหารและพรรณนา เพราะเทศนาต้องใช้กลวิธีในการชักจูงใจ
4.             สาธกโวหาร หมายถึง โวหารที่มุ่งให้เห็นความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้แจ่มแจ้งหรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้มีความหนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารเป็นโวหารเสริมของบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร การเลือกยกตัวอย่างนั้นควรเลือกให้เข้ากับเนื้อความ อาจยกตัวอย่างสั้น ๆ ในบรรยายโวหารหรืออาจยกตัวอย่างที่มีรายละเอียดประกอบในพรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เป็นต้น
5.             อุปมาโวหาร หมายถึง โวหารเปรียบเทียบ โดยการยกตัวอย่าง สิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบเพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ ความรู้สึกมากยิ่งขึ้น อุปมาโวหารนั้นใช้เป็นโวหารเสริมของบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร เพื่อให้เกิดความชัดเจนน่าอ่านโดยอาจเปรียบเทียบอย่างสั้น ๆ หรือเปรียบเทียบอย่างละเอียดก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปมาโวหารนั้นจะนำไปเสริมโวหารประเภทใด  อุปมาโวหารนี้อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า โวหารภาพพจน์” ซึ่งสามารถแบ่งออกมาได้เป็น 8 ประเภท ได้แก่
5.1  อุปมา
อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า "เหมือน" เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์   ปาน ประหนึ่ง เพียง พ่าง ปูน  เป็นต้น
ตัวอย่าง
§  ปัญญาประดุจดังอาวุธ
§  ไพเราะกังวานปานเสียงนกร้อง
§  ท่าทางหล่อนราวกับนางพญา
5.2  อุปลักษณ์
อุปลักษณ์  ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง แบะอุปลักษณ์นี้จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา
ตัวอย่าง
§  ขอเป็นเกือกทองรองบาทา    ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย
§  ทหารเป็นรั้วของชาติ
§  เธอคือดอกฟ้าแต่ฉันนั้นคือหมาวัด
5.3  ปฏิพากย์
ปฏิพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้าม หรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น


ตัวอย่าง
§  เลวบริสุทธิ์  
§  บาปบริสุทธิ์ 
§  สวยอย่างร้ายกาจ
5.4  อธิพจน์
อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด  เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน 
ตัวอย่าง
§  คิดถึงใจจะขาด  
§  คอแห้งเป็นผง 
§  ร้อนตับจะแตก  
5.5  บุคลาธิษฐาน
บุคลาธิษฐานหรือบุคคลวัต คือ การกล่าวถึงสิ่งต่างๆที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์ (บุคลาธิษฐานมาจากคำว่าบุคคล + อธิษฐาน หมายถึง อธิษฐานให้กลายเป็นบุคคล)
ตัวอย่าง
                                                        มองซิ..มองทะเล             เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน
                          บางครั้งมันบ้าบิ่น                               กระแทกหินดังครืนครืน
                          ทะเลไม่เคยหลับไหล               ใครตอบได้ไหมไฉนจึงตื่น
                          บางครั้งยังสะอื้น                                ทะเลมันตื่นอยู่ร่ำไป
5.6  สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน  ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความ ซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป     
ตัวอย่าง
§  เมฆหมอก  แทน  อุปสรรค
§  สีดำ  แทน ความตาย  ความชั่วร้าย
§  สีขาว  แทน  ความบริสุทธิ์
§  กุหลาบแดง  แทน  ความรัก

5.7  นามนัย 
นามนัย  คือการใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง  คล้ายๆสัญลักษณ์   แต่ต่างกันตรงที่  นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าว  ให้หมายถึงส่วนทั้งหมด 
ตัวอย่าง
§  เมืองโอ่ง  หมายถึง  จังหวัดราชบุรี
§  เมืองย่าโม  หมายถึง  จังหวัดนครราชสีมา
§  ทีมเสือเหลือง  หมายถึง  ทีมมาเลเซีย
§  ทีมกังหันลม หมายถึง  ทีมเนเธอร์แลนด์
5.8  สัทพจน์
สัทพจน์  หมายถึงภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ  เช่น  เสียงดนตรี  เสียงสัตว์  เสียงคลื่น  เสียงลม   เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ
ตัวอย่าง
§  ลุกนกร้องจิ๊บๆๆ  
§  ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ
§  เปรี้ยง ๆ  ดังเสียงฟ้าฟาด     
§  ตะแลกแต๊กแต๊กตะแลกแต๊กแต๊ก      กระเดื่องดังแทรกสำรวลสรวลสันต์
§  คลื่นซัดครืนครืนซ่าที่ผาแดง
https://my.dek-d.com/kuroba_mojiko/writer/viewlongc.php?id=678548&chapter=3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น